วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

แฟนฟิค มหาภารตะ “ทางเลือกของกรรณะ”


       ขอหน่อย ช่วงนี้กำลังอินกับกรรณะ ฮ่า ๆ ช่อง Star Plus เอามหาภารตะมาทำซะใหม่เอี่ยม คนสวย ๆ หล่อ ๆ เยอะมว๊ากกก เต็มเรื่องเลยขอบอก http://www.youtube.com/watch?v=q9KI5-bUrw8&list=ELM7XKBJ85RIk&index=1 เสียดายยังไม่มีซับอังกฤษ มีแต่ภาษาฮินดีปน ๆ อังกฤษ ฟังออกก็ไม่หมด เสียจายยย TT

 มารีวิวกันหน่อยดีกว่า ในแฟนฟิคเรื่องนี้มีตัวละครแค่สามตัวเอง -..-

                                                          พระกฤษณะ (เว่อร์ชั่น Star Plus)

                                                           เสด็จปู่ภีษมะ (เทวพรต,ศานตนพ)

                                                         กรรณะคนขวา และ ทุรโยธน์คนซ้าย
และ ปิดท้ายด้วยอรชุน 
                


เอาล่ะไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว มาอ่านกันเถอะ ภาษาอาจจะยากไปนิด แต่รับรองได้อารมณืแน่นอน 

      
     เสียงแร้งกา ดังระงม กลิ่นคาวโลหิตฟุ้งกระจายทั่ว ชวนให้พะอืดพะอม  รัตติกาลคืบคลานเข้ามา แสงอาทิตย์ฉายทอดอร่ามระเรื่อทั่วสมรภูมิเลือด ท่ามกลางซากศพอันมหาศาลทุ่งกุรุเกษตรแดงฉาน เจิ่งนองไปด้วยโลหิตมนุษย์ ม้า ช้าง สรรพสัตว์ที่ถูกนำมาใช้เป็นพาหนะในการประหัตประหารเหล่ามนุษย์ เสียงร่ำไห้ของสตรีม่ายดังระงม พวกนางต่างเที่ยวหา พลิกศพร่างแล้วร่างเล่า ถึงจะอย่างไร บิดา สามี หรือบุตรชายของพวกนางก็จะต้องไม่ถูกปล่อยให้นอนสิ้นใจทับถมกัน เป็นอาหารของแร้งกา ดั่งหนึ่งซากสัตว์เดียรัจฉานเช่นนี้

      ยามโพล้เพล้ รัศมแสงสุดท้ายกำลังลาลับขอบฟ้า บุรุษฉวีคล้ำ เกศาดำขลับไสวงาม ถือขลุ่ยสีทองประดับขนนกยูง ก้าวข้ามผ่านสมรภูมิโลหิต ไปสู่เขตแดนศัตรู แม้จะเป็นแดนทัพของศัตรู หากแต่กฏของสมรภูมิคุ้มครองเขาไว้ สงครามยังไม่จบ โลหิตยังหลั่งไหลไม่มากพอ เขารู้ดีว่าฝ่ายเการพจะไม่ยอมเลิกรา จนกว่าทหารคนสุดท้ายจะล้มลง

      “เกศวะ (ผู้มีเกศางาม นามหนึ่งของพระกฤษณะ)หม่อมฉันดีใจที่พระองค์เสด็จมา” เสียงแหบแห้งของบุรุษชราเกศาขาวโพลน ทรงเครื่องทรงจอมทัพสีเงินสว่าง ซึ่งบัดนี้แปดเปื้อนไปด้วยโคลน และโลหิต บุรุษชราผู้นอนอยู่บนเตียงลูกศร เตียงซึ่งเป็นลูกศรนับร้อยดอก ศรร้อยดอกที่ทะลุผ่านตัวเขาตรึงแน่นอยู่กับแผ่นดิน

      “ถวายพระพรพระอัยกาภีษมะพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง สิ่งเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นกับเหล่าสหายของหม่อมฉัน” บุรุษฉวีคล้ำทูลตอบจอมทัพผู้มีศักดิ์เป็นอัยกา

      “เป็นสิ่งใดกัน โควินทะ (ผู้เลี้ยงวัว นามหนึ่งของพระกฤษณะ) สิ่งใดกันทำให้พระองค์สังหรณ์พระทัย” บุรุษชราเปล่งเสียงอันเหนื่อยล้าออกมา ดวงเนตรมองดูบุรุษเบื้องหน้าผู้อ่อนวัยกว่าด้วยสายตาอ่อนโยน
   “หม่อมฉันนึกถึงกรรณะ กรรณะผู้สาบานว่าจะสังหารสหายของหม่อมฉัน พระอัยกา พระองค์ทรงรู้เรื่องของเขาหรือไม่พระเจ้าค่ะ….

   “หม่อมฉันทราบดี ทวารกานาถ (ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นทวารกา นามหนึ่งของพระกฤษณะ) สามวันก่อนหน้านี้ นางกุนตีคุกเข่า อยู่แทบเท้าหม่อมฉัน นางร่ำไห้แก่หม่อมฉัน นางขอให้หม่อมฉันห้ามมิให้กรรณะเข้าร่วมสงคราม นางขอให้หม่อมฉันกันเขาออกไปเสียจากไฟสงคราม สงครามที่เขากำลังจะประหัตประหารพี่น้องของตนโดยไม่รู้ตัว” ภีษมะ ลอบถอนใจ ชายชราก็คือชายชรา พรจากพระบิดาของพระองค์ ทำให้พระองค์มีชีวิตอยู่เท่าไรก็ได้ตามที่ทรงปราถนา บัดนี้พรนั้นกำลังทำร้ายพระองค์เอง พระองค์เลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อบนเตียงลูกศร มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อดูจุดจบของมหาสงคราม ไฟสงครามที่ลูกหลานของพระองค์ก่อขึ้น

       “กรรณะเอ๋ย กรรณะ  เป็นเช่นนั้นแล้วเสด็จปู่ทรงทำเช่นไรพระเจ้าค่ะ” พระกฤษณะถามด้วยน้ำเสียงสดใสกังวาน พระองค์ทรงรู้ดีว่า สรรพสิ่งเป็นไปเช่นไร นั่นมิใช่เพราะสิ่งพิเศษอันใด แต่เป็นเพราะพระองค์คือ องค์อวตารนั่นเอง
      “หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ทรงทราบดี เกศวะ หม่อมฉันรับปากนาง กรรณะไม่พอใจหม่อมฉัน เขาคิดว่าหม่อมฉันรังเกียจเขา เพราะเขาเป็นชนชั้นศูทร เขามิได้รับรู้ถึงความจริงแห่งชาติกำเนิดของตัวเลย” ภีษมะทอดสายตาไปในความมืด แสงสุรีย์หายลับขอบฟ้าไปนานแล้ว บัดนี้ความมืดมิดกลืนกินทุกสรรพสิ่ง มีเพียงคบไฟนับล้านดวงเท่านั้นที่ถูกจุดขึ้น เพื่อขับไล่ราตรีกาล

    “โทรณาจารย์มรณาแล้ว หม่อมฉันรู้ดีว่าคืนนี้กรรณะต้องมาหาพระอัยกา เขาจะต้องมาขออนุญาตจากพระองค์ ทุรโยธน์จะยกกรรณะให้เป็นจอมทัพในวันรุ่งขึ้นแทนที่โทรณาจารย์” พระกฤษณะคุกเข่าลงข้าง ๆ เตียงลูกศร ปัดฝุ่นและแมลงให้แก่ภีษมะ อย่างเบามือ

     “เสด็จปู่ การครั้งนี้เกินกำลังแห่งพระองค์ บอกแก่กรรณะเถิดพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันคิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่เขาควรจะได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง เราควรบอกแก่เขา ก่อนที่การประหัตประหารอันเลวร้ายจะเกิดขึ้น” พระกฤษณะตรัส ภีษมะเพียงแต่พยักหน้าน้อย ๆ 

ความเงียบเข้าครอบคลุม สิ้นเสียงลมชั่วขณะ เบื้องหน้าปรากฏบุรุษหนุ่มสวมเกราะ และกุณฑลสีทองอร่าม ก้าวข้ามความมืดมิดเข้ามาหาทั้งสอง

    “หม่อมฉันกรรณะ ขอถวายพระพรเสด็จปู่ภีษมะ” บุรุษสวมเกราะทอง คุกเข่าลงปลายเตียงลูกศร สัมผัสเท้าภีษมะ “พระกฤษณะ พระองค์อย่าได้ทรงทำเป็นแปลกพระทัยเลย หม่อมฉันรู้ พระองค์ทรงทราบดีว่าหม่อมฉันจะต้องมา”

     “เธอพูดถูกกรรณะ เรารู้ เราทั้งสองรู้ดีเลยทีเดียว เธอกำลังจะมาขอความชอบธรรมในการประหัตประหารศัตรูของเธอ พี่น้องของเธอ” พระกฤษณะตรัสด้วยเสียงลุ่มลึก

     “เช่นนั้นก็ดีพระเจ้าค่ะ พระกฤษณะ การที่พระองค์ทรงตรัสว่าพวกมันเป็นศัตรูนั้น หม่อมฉันยอมรับได้ แต่หากจะทรงตรัสว่าคนเหล่านั้นเป็นพี่น้องของหม่อมฉัน หม่อมฉัน ขอพระองค์อย่าได้ตรัสคำเช่นนั้นอีกเลย มีเพียงเจ้าเการพหนึ่งร้อยองค์เท่านั้น ที่เป็นพี่น้องที่แท้จริงของหม่อมฉัน” กรรณะกล่าวอย่างหนักแน่น น้ำเสียงพลุ่งพล่านไปด้วยอารมณ์

    พระกฤษณะส่ายพระพักตร์ราวรูปสลักน้อย ๆ เกศาดำขลับ พลิ้วไสวไปตามสายลมเย็นยามค่ำ         พระโอษฐ์เหยียดบาง ฉาบไปด้วยรอยยิ้มลึกลับ “ไม่เลยกรรณะ…. ไม่เลย เราบอกแก่เธอ ปาณฑพเหล่านั้นคือพี่น้องของเธอ สิ่งนี่ล้วนเป็นความสัตย์จริง”  

    ใบหน้ากรรณะปรากฏรอยย่นเล็กน้อย ร่องรอยความสงสัยปรากฏอยู่ชั่วขณะก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากบิดรูปกลายเป็นรอยยิ้มอันเหยียดหยามขึ้นแทนที่

      “พระองค์คงจะทรงเป็นห่วงสหายของพระองค์มากเกินไปดอกกระมั้ง พระองค์คิดว่าหากหม่อมฉันเป็นพี่น้องของพวกปาณฑพแล้วหม่อมฉันจะไม่สังหารคนเหล่านั้นหรือ คำตอบคือ ไม่ พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่มีวันเป็นพี่น้องกับพวกมัน พระองค์มิได้ทรงสัมผัสถึงความเกลียดชังของหม่อมฉันหรอกหรือ หม่อมฉันคิดว่า มันสมควรจะรุนแรงจนพระองค์สามารถสัมผัสได้เลยทีเดียว”

      “กรรณะ ปู่รู้ดีว่าเจ้าเกลียดปาณฑพทั้งห้า โดยเฉพาะอรชุน พระกฤษณะก็ทรงรู้ดีเช่นเดียวกัน แต่ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับตัวเจ้าเอง ปู่คิดว่าเจ้าควรจะได้รู้ ก่อนที่เจ้าจะตัดสินใจทำอะไรลงไป” ภีษมะมองกรรณะด้วยสายตาอ่อนโยน เสมือนดั่งบุรุษเกราะทองเบื้องหน้านี้คือหลานชายแท้ ๆ ของตน 

    “ใช่แล้ว กรรณะ นั่นคือสิ่งที่เรากำลังจะบอกแก่เธอ เราภาวนาให้เธอรับฟัง และเข้าใจ เราจะไม่บอกกับเธอว่าเราคาดหวังอะไรจากเธอ กรรณะเอ๋ย เทวีกุนตีนั่นแลคือมารดาของเธอ พระสุริยเทพนั่นเล่าคือบิดาเธอ ปาณฑพเหล่านั่น ก็คือพี่น้องที่แท้จริงของเธอ ลืมเหล่าเการพเสีย ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเสีย แล้วกลับไปหาพี่น้องของเธอ ยุธิษฐิระจะเรียกเธอว่าพี่ ภีมะจะเคารพเธอ อรชุนนั่นเล่าจักมอบธนูของเขาแก่เธอ  นกุลและสหเทพจะยอมเป็นสารถีให้แก่เธอ เราเองก็จักเป็นสหายของเธอ กลับไปเถิดกรรณะ กลับไปหาครอบครัวของเธอ” พระกฤษณะตรัสด้วยน้ำเสียงกังวาน สดใส ตามแบบฉบับของพระองค์ แม้ว่าเรื่องที่พระองค์กำลังตรัสอยู่จะเป็นวันวินาศของโลกก็ตาม สุรเสียงของพระองค์ ก็จะเป็นดั่งเช่นที่เคยเป็นเสมอมา รอยยิ้มลึกลับคลี่ออกกลายเป็นการมองดูด้วยความใส่ใจ

       กรรณะเบือนหน้าหนีด้วยสีหน้าเจ็บปวด ใบหน้าซีดเผือด ริบฝีปากเม้มสนิทปรากฏเป็นเส้นบาง เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะผุดลุกไปจากปลายเท้าของภีษมะ “ข้าแต่พระกฤษณะผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระอัยกาภีษมะผู้รักษาสัตย์ยิ่ง บัดนี้พระองค์ทั้งสองทรงกำลังโกหกหม่อมฉันคำโต เพียงเพื่อพวกผองของพระองค์เอง หม่อมฉันไม่มีวันเชื่อเป็นแน่ พระกฤษณะ หากสิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นความจริง บอกหม่อมฉันหน่อยเถิด เหตุใดพระองค์จึงเพิ่งบอกแก่หม่อมฉัน พระองค์ทรงหวาดกลัวว่าหม่อมฉันจะสังหารพวกปาณฑพทั้งห้าจนหมดละหรือ จึงได้รีบบอกแก่หม่อมฉันในตอนนี้ หม่อมฉันขอถามพระองค์ หากวันพรุ่งนี้ องค์ทุรโยธน์ไม่ได้ยกหม่อมฉันขึ้นเป็นจอมทัพ หม่อมฉันจะมีสิทธิ์ได้ฟังในสิ่งที่พระองค์ตรัสในวันนี้หรือไม่” 

        พระกฤษณะแย้มพระโอษฐ์อีกครา พระองค์ยังไม่ทรงตอบคำถามในทันที ทรงจ้องมองลึกเข้าไปในดวงเนตรสีนิลของกรรณะ ซึ่งบัดนี้ ใบหน้าบิดเบี้ยวคุกรุ่นไปด้วยโทสะ “เธอต้องการคำยืนยันจากใครเล่า กรรณะ  อธิรัฐสารถี กับนางราธา ผู้ที่เธอคิดว่าเป็นบิดามารดาละหรือ เธอคิดได้อย่างไรว่าพวกเขาให้กำเนิดแก่เธอ เธอพิเศษกว่าผู้ใด กรรณะ เกราะทอง และกุณฑลคู่นั่นไงเล่าที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิด เธอเข้าใจว่าสารถีชนชั้นศูทรสามารถให้กำเนิดนักรบอันกล้าหาญอย่างเธอได้หรือ สิ่งเหล่านี้คือข้อพิสูจน์ที่เราบอกแก่เธอ กรรณะ”

    กรรณะตั้งใจฟัง ความคลางแคลงใจเข้าเกาะกุมใจ เขารับฟังด้วยสมองที่พองโต สิ่งเหล่านี้เกินกำลังที่เขาจะรับได้ในทันที เขาสบตาพระกฤษณะผู้ซึ่งตอนนี้พระพักตร์เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ภีษมะก็เช่นกัน พระองค์ยิ้มให้กับเขา  “พระองค์ไม่ได้ตอบคำถามของหม่อมฉัน” กรรณะกล่าวขึ้น

     “ไม่ กรรณะ เราจะไม่ตอบ เวลาที่เหมาะสมของเรื่องนี้คือ ตอนนี้ เราจึงบอกแก่เธอเดี๋ยวนี้ เธอดื้อรั้นยิ่งนัก หากมิใช่ เพราะเทวีกุนตี นางขอให้เราปกป้องบุตรแห่งนาง ซึ่งเรารู้ว่านางก็หมายรวมถึงเธอด้วย เราจะไม่พูดว่าในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรที่เราไม่รู้ เรารู้ว่าเธอเป็นใคร และสิ่งสุดท้ายที่เราจะบอกแก่เธอ ส่วนหนึ่งในเรื่องราวของเธอ ถือเป็นความลี้ลับแห่งจักรวาล สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไป มันจะเป็นไปตามวารและเวลาของมัน เรามิอาจฝืนได้ และเธอจำเป็นจะต้องเชื่อเรา

      กรรณะเบือนหน้า จากนั้นจึงแค่นยิ้ม แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นหัวเราะ เขากำลังสับสน หัวใจสับสนวุ่นวาย หวนคิดไปถึงอดีตของตน ด้วยความผิดหวังต่อโชคชะตาที่ตนเองเกิดมาในวรรณะอันต่ำ วรรณะศูทรซึ่งเป็นที่รังเกียจและดูถูกของผู้คน ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจสักเพียงไหน สุดท้ายผู้คนทั้งแผ่นดินก็ยังคงมองเขาเป็นเพียง กรรณะ ชนชั้นศูทรอันต่ำต้อย บุตรชายของนายสารถีขับรถม้า ความเจ็บปวดเข้ากัดกินหัวใจอันผิดหวัง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เมื่อหลับตาลงยามใด เขาจะเห็นใบหน้าของพวกปาณฑพทั้งห้าที่จ้องมองมาด้วยความรังเกียจ เหยียดหยาม โดยเฉพาะอรชุน นับตั้งแต่วันที่เขาถูกดูหมิ่นท่ามกลางการประลอง  ท่ามกลางมหาสภา ต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย มีเพียงทุรโยธน์เท่านั้นที่เข้ามาสวมกอดเขา แล้วบอกกับคนทั้งหลายว่ากรรณะคือ สหาย ทุรโยธน์ยกแผ่นดินให้เขาปกครอง มอบวรรณะที่สูงส่งกว่าให้เขายืนเทียมบ่าเทียมไหล่ได้อย่างไม่อับอาย

       “กรรณะ หลานจงฟังปู่ หลานเองก็รู้ดีว่า ปู่สาบานจะไม่กล่าวคำอสัตย์ใด ๆ  และปู่ก็ไม่เคยผิดคำมั่นนั่น ปู่สามารถยืนยันแก่หลานได้ คำพูดของพระกฤษณะนั่นเป็นความจริงทุกประการ กุนตีมารดาที่แท้จริงของหลานก็บอกกับปู่เช่นนี้ นางมีมนต์วิเศษที่สามารถเรียกเทพองค์ใดลงมาประทานบุตรให้แก่นางก็ได้ ยามนั้นนางยังเยาว์ด้วยความใคร่รู้ นางจึงทดลองอัญเชิญสุริยเทพลงมา เมื่อเป็นเช่นนั้นสุริยเทพจำต้องประทานบุตรแก่นาง เด็กที่เกิดมามีเกราะและกุณฑลทองติดตัวมาตั้งแต่เกิด กุนตีเกรงว่าเด็กที่เกิดมาจะสร้างความอับอายให้แก่วงศ์แห่งบิดานาง นางจึงนำหลานใส่ตระกร้าห่อผ้าปกปิดเกราะทอง ปล่อยหลานลอยไปตามน้ำ สารถีอธิรัฐเก็บหลานได้จากริมแม่น้ำ พวกเขาเลี้ยงหลานในฐานะบุตรชาย เมื่อยามที่….

        “พอเถิดพระเจ้าค่ะ !!” กรรณะตะโกนตัดบท ภีษมะชะงักงัน รอยยิ้มของพระกฤษณะยามที่ดูเหมือนจะเหือดหายไป  

        “เสด็จปู่มิต้องทรงลำบากตรัสหรอกพระเจ้าค่ะ เรื่องที่หม่อมฉันได้รู้ในวันนี้รังแต่จะทำให้หม่อมฉันรังเกียจพระนางมากยิ่งขึ้น รังแต่จะจุดไฟโทสะของหม่อมฉันให้แผดเผาพวกปาณทพมากยิ่งขึ้น  พระนางช่างใจดำอำมหิต พระนางเป็นสตรีเช่นไรกันจึงสามารถละทิ้งเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีความผิดอันใดให้ไปเผชิญกับชะตากรรมเพียงลำพัง นางเป็นมารดาเช่นไร จึงละทิ้งบุตรของตนได้อย่างเลือดเย็น หม่อมฉันเกลียดพระนาง เกลียดพระนางที่ละทิ้งหม่อมฉัน พระองค์ทรงรู้หรือไม่ ทุกวันคืนหม่อมฉันมักจะฝันเห็นสตรีนางหนึ่งร่ำไห้ร้องเรียกหาหม่อมฉัน ทว่าหม่อมฉันไม่เคยได้ยินเสียงที่นางเรียก ไม่แม้กระทั่งเห็นใบหน้าของนาง หม่อมฉันคิดเสมอว่าสตรีปริศนานางนั้นคือมารดาของหม่อมฉัน หม่อมฉันเคยวาดฝันให้นางมีเหตุผลที่ดีพอที่ละทิ้งหม่อมฉันไว้เพียงลำพังในโลกที่โหดร้าย ทว่านางกลับทำเพียงเพื่อตัวของนางเอง พระนางช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก”      

       กรรณะกล้ำกลืนความเจ็บปวด หน้าผากปรากฏรอยริ้วย่น ดวงเนตรหลุบลง ริมฝีปากห่อผิดรูปร่าง ใบหน้าบิดเบี้ยว ความจริงช่างโหดร้ายนัก เขาเคยฝันให้ตัวเองได้รู้จักผู้ให้กำเนิด เขารับรู้ได้ว่าสุริยเทพทรงเคียงข้างเขาอยู่เสมอ ยามใดที่แสงอรุณสาดส่อง แม้ผู้ใดก็ไม่อาจต่อกรกับเขาได้ กรรณะอุทิศตนให้กับสุริยเทพ เพราะเขาเชื่อเสมอมาว่า พระองค์ทรงช่วยเหลือเขา ปลอบโยนเขายามท้อแท้ แสงอันอบอุ่นมักจะให้กำลังใจแก่เขา พระองค์ทรงรักเขา

        ชั่วชีวิตนี้กรรณะพบกับคำนินทามามากมาย คนทั้งหลายบอกกันว่าเขาไม่ใช่บุตรของนายสารถี พราหมณ์ทั้งหลายผู้บูชาสุริยเทพ ต่างอวยชัยให้พรแก่เขา คนพวกนั้นบอกแก่เขาว่าสุริยเทพ คือบิดาที่แท้จริง กรรณะเต็มใจที่จะไม่ปฏิเสธว่าพระองค์คือบิดาตน หากแต่พระนางกุนตี มารดาที่โหดร้ายนั้นต่างหากที่เขามิอาจทำใจยอมรับได้

            สายลมยะเยือกพัดกรรโชก กิ่งไม้รอบ ๆ สั่นไหว ภีษมะไอเบา ๆ ความเจ็บปวดจากศรร้อยดอกที่ทิ่มแทง กำลังคุกคามพระองค์  ความเงียบดั่งชั่วกัลปาวสานกำลังคืบคลานเข้ามา กรรณะยืนหันหลังให้กับทั้งสอง เขากำลังจ้องมองไปในความมืดที่ไม่มีสิ้นสุด

       “ไม่มีเหตุผลใดเพียงพอที่เราจะทำให้เธอเปลี่ยนใจได้เลยหรือ กรรณะ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์แก่ตัวของเธอเอง เทวีกุนตีทำผิด แต่เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธความชอบธรรมของตัวเธอเอง เราบอกให้เธอละทิ้งทิฐิมานะของเธอ แล้วกลับไปหาครอบครัวของเธอเสีย ก่อนที่ความสูญเสียอันใหญ่หลวงจะเกิดแก่เธอ สงครามนี้ไม่เหมาะกับเธอเลยกรรณะ เราขอให้เธอคิด เธอจำต้องเลือก เธอจงตัดสินใจและบอกแก่เราทั้งสองมาเถิดว่าเธอเต็มใจที่จะเลือกสิ่งใด ระหว่างครอบครัวที่แท้จริงของเธอ กับมิตรภาพของเธอกับทุรโยธน์” เป็นพระกฤษณะนั่นเอง ที่ทรงทำลายความเงียบขึ้น พระพักตร์เริ่มแดงเรื่อ พระองค์ลุกขึ้นยืนเต็มองค์ พระฉวีสีคล้ำกลมกลืนไปกับราตรีอันมืดมิด ทรงจ้องมองแผ่นหลังของกรรณะ

       ภีษมะถอนหายใจเบา ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นเนิ่นนาน เห็นทีคงจะเป็นโชคชะตาของกรรณะ เรื่องราวคงจะดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดเสียแล้ว ภีษมะรู้ดีว่าไม่มีใคร หรืออะไรจะทำให้บุรุษที่เจ็บปวดมาตลอดชีวิตเฉกเช่นกรรณะเปลี่ยนใจได้ ฝีมือด้านการรบกรรณะไม่เป็นรองใคร ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจต่อกร แม้ว่าจะเป็นอรชุน หนึ่งในห้าพี่น้องปาณฑพ อรชุนผู้มีศรวิเศษจากพระศิวะ หลานชายที่มีวิชาธนูเยี่ยมที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยพานพบ ผู้ยิงศรร้อยดอกตรึงเขาไว้กับแผ่นดิน เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีชัยเหนือบุรุษผู้นี้ได้   

     กรรณะเงยหน้าขึ้นมองฟ้ามืดสนิท กิริยาประหนึ่งนับดาวบนฟากฟ้า ลมหายใจลึกถูกผ่อนออกมาทีละน้อย  เขาต้องตัดสินใจ คำตอบต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น “คำตอบของหม่อมฉัน คือ องค์ทุรโยธน์” เสียงแข็งกร้าวของกรรณะบอกให้รู้ว่าเขาไม่มีวันเปลี่ยนใจ กรรรณะหันกลับมาเผชิญหน้ากับพระกฤษณะ

     ภีษมะคล้ายกลั้นหายใจ ช่างน่าใจหาย จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่คือบทบาทตลอดชีวิตของเขา ทว่าตอนนี้ เขากำลังแสดงความอ่อนแอออกมา สิ่งที่หลงเหลืออยู่ ณ เบื้องหน้านี้เป็นเพียงแค่ความพยายามที่ไร้ผล        ความพยายามที่จะห้ามการประหัตประหารระหว่างลูกหลานของเขาเอง มันกลายเป็นสิ่งที่ยากเย็น และเกินความสามารถของเขา สายใยแห่งโชคชะตาได้ถูกถักทอขึ้นมาแล้ว

       “กรรณะ หลานปู่ ปู่พยายามจะเข้าใจหลาน ปู่จะไม่วิงวอนขอให้หลานคิดใหม่อีกครั้ง เพราะสิ่งที่ปู่เห็นเบื้องหน้าคือ บุรุษที่เต็มไปด้วยความโศกศัลย์ โทสะกำลังกัดกินใจหลาน ปู่ไม่อยากให้หลานรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำไปชั่วชีวิต”

      กรรณะยืนนิ่งสีหน้าว่างเปล่า ใบหน้าปราศจากการรับรู้ใด ๆ  เขากำลังรอคอย

      พระพักตร์ของพระกฤษณะนิ่งขรึมอย่างประหลาด ทรงหลับพระเนตรลงชั่วขณะ “เธอจักถึงแก่มรณา ในที่สุด กรรณะ การตัดสินใจของเธอจะทำร้ายตัวเธอเอง”

      กรรณะแค่นหัวเราะ รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นมาฉับพลัน เขาจ้องพระพักตร์ของพระกฤษณะโดยตรง ปราศจากซึ่งความเกรงกลัวใด ๆ ไม่มีความเคารพใด ๆ ที่เขาจะมอบให้กับบุรุษเบื้องหน้านี้ เขาไม่ใช่ภีษมะหรือพวกปาณฑพ ที่จะได้บูชาบุรุษผู้เต็มไปด้วยความลึกลับอันดำมืด ชายผู้พยายามยัดเหยียดความตายให้แก่สหายของเขา มอบความพินาศให้แก่กองทัพของเขา กรรณะไม่มีวันยอมแพ้

        “คนทุกคนต้องตายพระเจ้าค่ะ พระกฤษณะ และหม่อมฉันก็ยินดีที่จะตายในสมรภูมิ หม่อมฉันขอขอบพระทัยเสด็จปู่ที่ทรงเป็นห่วงชีวิตของหม่อมฉัน แต่ตราบใดที่หม่อมฉันยังมีลมหายใจ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทำให้หม่อมฉันเปลี่ยนใจ หม่อมฉันไม่มีวันละทิ้งสหายที่มอบชีวิตใหม่ให้แก่หม่อมฉันได้ ขอบพระทัยทั้งสองพระองค์ที่ทรงทำให้หม่อมฉันได้รู้จักผู้ให้กำเนิด ขอบพระทัยที่ทรงทำให้หม่อมฉันได้เกลียดพระนางมากยิ่งขึ้น บัดนี้ หม่อมฉันกรรณะ ได้เลือกแล้ว องค์ทุรโยธน์ คือ คำตอบสุดท้าย แม้ว่าทุรโยธน์จะไม่ใช่คนที่ดีพร้อม แต่อย่างน้อยเขาก็เห็นคุณค่าในตัวของหม่อมฉัน และหม่อมฉันก็จะไม่มีวันลืมในสิ่งที่เขามอบให้เลย ในชั่วชีวิตนี้”

        ภีษมะลอบมองใบหน้าบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า ความน่าสะพรึงปรากฏขึ้นแก่เขา ความหนักแน่น ดึงดัน เต็มเปี่ยมไปด้วยเชื่อมั่น พรั่งพรูออกมาจากน้ำเสียง และแววตาของกรรณะ  ภีษมะเริ่มเข้าใจ ต่อให้สุริยเทพเสด็จลงมาบอกแก่กรรณะเองก็ตามที กรรณะจะไม่ยอมถอยให้แก่ใครหน้าไหนแม้แต่ก้าวเดียว มิตรภาพระหว่างเขากับทุรโยธน์ สูงค่าสำหรับกรรณะยิ่ง

        “หากเธอกล่าวเช่นนั้น เราก็จะไม่ขัดขวางเธออีก กรรณะ เธอมีสิทธิ์ที่จะเลือกเพื่อตัวของเธอเอง บัดนี้เรา และเสด็จปู่ภีษมะไม่มีความหมายใด ๆ แก่เธออีกต่อไป เธอมีสิทธิ์เต็มที่ในการรบวันพรุ่งนี้ เธอจักเป็นจอมทัพแห่งเการพ ตามที่ใจเธอปราถนา” พระกฤษณะตรัสอีกครั้ง หลังจากลืมพระเนตรขึ้น  พระองค์ทรงมีหน้าที่เพียงชี้นำ ส่วนหนทางแห่งโชคชะตา จำต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฏของจักรวาล

         “ขอบพระทัยทั้งสองพระองค์พระเจ้าค่ะ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่มีหน้าที่ใด ๆ ที่จะต้องอยู่ที่นี้อีกต่อไป หม่อมฉันขอทั้งสองพระองค์จงอย่าบอกแก่พวกปาณทพทั้งห้าว่าหม่อมฉันเป็นใคร หม่อมฉันต้องการให้พวกเขารู้จักหม่อมฉันอย่างที่พวกเขาเคยรู้จัก ถวายพระพรทั้งสองพระองค์ หม่อมฉันกรรณะ ขอทูลลา” กรรณะกล่าวอย่างรีบร้อน เขากำลังลิงโลด เขากำลังมีชัยในการต่อรอง และชัยชนะที่แท้จริงจักต้องมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ เขาจะต้องไม่มัวเสียเวลากับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว หน้าที่อันยิ่งใหญ่กำลังรอคอยเขาอยู่

        กรรณะเดินเข้าไปหาภีษมะ ก้มลงสัมผัสเท้าตามธรรมเนียม ภีษมะพยักหน้าน้อย ๆ “อย่างน้อยเจ้าก็เป็นหลานชายของปู่จริง ๆ ปู่ไม่ได้โกรธเกลียดเจ้าเลย กรรณะ ปู่รักที่เจ้าไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ปู่อวยพรให้เจ้าปลอดภัย” กรรณะมองลึกเข้าไปในดวงตาอ่อนโยนของชายชรา เขาสัมผัสได้ว่าวันเวลาขององค์ภีษมะใกล้จะหมดลงแล้ว

       “เราเองก็อวยพรให้เธอปลอดภัยเช่นเดียวกัน กรรณะ….” พระกฤษณะตรัส กับกรรณะ เมื่อเขากำลังจะหันหลังจากไป โดยปราศจากการคารวะใด ๆ แก่พระองค์

        ลมเย็นโชย โบกพัดใบไม้สั่นไหว กรรณะสูดลมหายใจลึกอย่างยากเย็น เอี้ยวศรีษะกลับมากล่าวบางอย่าง

            “ก่อนหม่อมฉันจะไป พระกฤษณะ หม่อมฉันขอฝากสิ่งหนึ่งให้พระองค์ นำถวายแด่พระนางกุนตี บอกแก่พระนางว่าหม่อมฉันสามารถถวายชีวิตของเหล่าปาณฑพให้แก่พระนางได้ หม่อมฉันจะไม่สังหารองค์ยุธิษฐิระ  หม่อมฉันจะไม่สังหารภีมะ ไม่แม้แต่จะสังหารบุตรชายฝาแฝดแห่งพระนางมาทรี (นกุล และสหเทพ) หม่อมฉันขอเพียงชีวิตของอรชุนเท่านั้น อรชุนเท่านั้นที่หม่อมฉันจะตัดศรีษะให้แก่องค์ทุรโยธน์ในวันพรุ่งนี้”

            เสียงลมกรรโชกสงบลง  กรรณะสาวเท้าจากไป เสียงฝีเท้าคล้อยไปไกล ทิ้งเพียงฝุ่นคละคลุ้งไว้ยังเบื้องหลัง


จบแล้ววว เป็นยังไงมั่ง ตั้งใจมากน่ะเนี่ย (คือ ดูซีรีย์แล้วมันฟิน >< ) กรรณะผู้น่าสงสาร TT

1 ความคิดเห็น:

  1. -ขอบคุณมากๆค่ะ เคยฟังจากอ.วีระแล้ว แต่พอมาอ่าน ก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณความตั้งใจของคุณ Shanxiang Lin อย่างมากค่ะ (ถึงจะผ่านมา 4 ปีแล้วก็ตาม ^^)
    -ถึงกรรณะจะน่าสงสาร แต่ก็รู้สึกว่าเป็นบุรุษที่ทรนง และความสามารถสูงแทบจะกล่าวได้ว่าหาใครเทียบได้ยาก
    -เพราะจากสภาพแวดล้อมของเหล่ากษัตริย์ย่อมสมบูรณ์แบบในการจะหาความรู้ใส่ตนได้โดยง่าย แต่กับกรรณะ ช่างยากลำบาก แต่ก็ยังมีความสามารถ ขนาดนี้ ต้องเรียกได้ว่า หาผู้เทียบแทบมิได้เลยจริงๆ
    -และที่สำคัญถ้าได้อ่าน จากผู้ที่ได้อ่าน และได้กล่าวถึงกรรณะ จะทราบได้ถึงความเห็นใจ และยกย่องกรรณะ ทั้งในด้าน ความรู้ ความสามารถ ความอดทน ความเสียสละ(บริจาคทาน) ความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยว ความกตัญญู(ต่อมิตรแท้อย่างทุรโยธน์) และอีกมายจนสมกับคำว่า "กษัตริย์นักรบ"
    -ถ้ากรรณะมีตัวตนจริง กษัตริย์ผู้นี้คงมิอาจจะกล่าวอย่างไร กับผู้ที่ชื่นชม และยกย่องจนมากกว่าตัวเอกเสียอีก
    -จนเคยนึกไปเองว่า ฤผู้ประพันธ์(ฤๅษีวยาส) ต้องการเรียกร้องความเห็นใจ ความเป็นธรรมให้ใคร จึงเขียนให้ชะตาของกรรณะเป็นเช่นนี้ แล้วก็เป็นไปตาม.....ที่ผู้ประพันธ์ต้องการ

    ตอบลบ